วันศุกร์

อ่านแล้วรวย:รวยด้วยการบริหารเวลา

             อ่านแล้วรวย หลังจากนำเสนอการสร้างความร่ำรวยด้วยแฟรนไชส์มาหลายตอน  วันนี้นำเรื่องหนึ่งที่เป็น ปัจจัยที่ทำให้รวย  นั่นคือ เวลา  ถ้าเราทำงานคนเดียว  ต่อให้เก่งแค่ไหน  ก็อาจแค่รวยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น  แต่ปัจจัยที่จะทำให้ร่ำรวยจริงๆนั้นคือการให้คนอื่นทำงานให้ต่างหาก  หรือพูดเท่ห์ๆก็คือการบริหารเวลา

           เกี่ยวกับเทคนิคการบริหารเวลา

        ทุกวันทุกคนบนโลกใบนี้มีเวลาเท่าเทียมกันคือ 24 ชั่วโมง  อย่างไรก็ดี มองจากแง่มุมของเศรษฐศาสตร์ เวลาของทุกคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน การบริหารเวลาของแต่ละคนจึงหมายถึงความแตกต่างระหว่างความสำเร็จกับความพ่ายแพ้
  ค่าของเวลาเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพซึ่งในแง่ธุรกิจคือต้นทุน  ฉะนั้นสถาบันศึกษาทุกแห่งที่สอนวิชาการบริหารธุรกิจจึงมีหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารเวลา
  ครั้งหนึ่งใน "สามก๊ก" เล่าปี่ขอขงเบ้งให้แนะนำวิธีสร้างตนให้เป็นมหาเศรษฐีแห่งดินแดน  ขงเบ้งว่างานใหญ่เช่นนี้ต้องวางแผนและรู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
  เล่าปี่กล่าวว่า “ ข้าฯ เห็นด้วยในหลักการแต่ทว่าข้าฯมีงานมากมายที่ต้องทำทุกวันจนเวียนเกล้าเวียนศีรษะ ไม่เคยมีเวลาพอที่จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย “
  ขงเบ้งบอกลูกน้องให้ไปเตรียมก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย และน้ำจำนวนหนึ่งพร้อมถังเหล็กใหญ่หนึ่งใบ
  เล่าปี่ถามด้วยความแปลกใจ “ ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร ”
  ขงเบ้งยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับตอบด้วยคำถามว่า “ ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด ”
  เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯเคยคิดว่าข้าฯมีเทคนิคที่ดีอยู่แล้วคือใช้วิธีมอบหมาย ข้าฯมีผู้ช่วยอยู่รอบด้านตั้งแต่กวนอู เตียวหุย เจ้าหยุน ฯลฯ ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ด้านต่างๆ แต่งานทั้งหลายก็ยังพันกันอีนุงตุงนัง ไม่สามารถปรับให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้นได้ เดิมข้าฯคิดว่าข้าฯ คือ แมลงวันไม่มีหัวอยู่ตัวเดียว แต่หลังการใช้ระบบมอบหมายงานกลับกลายเป็นว่า ปัจจุบันมีแมลงวันหัวขาดเป็นฝูง”
  ขงเบ้งฟังแล้วจึงเริ่มอธิบายว่า “ เทคนิคการบริหารเวลาสามารถแบ่งเป็นสูง กลาง และต่ำ สามขั้น  ขั้นต่ำเน้นการใช้เศษกระดาษบันทึก  ขั้นกลางเน้นการใช้แผนดำเนินงาน และตารางโปรแกรมประจำวันซึ่งสะท้อนความสำคัญของการวางแผน ส่วนขั้นสูงเน้นการจัดการโดยแบ่งแยกประเภทของหน้าที่การงานตามดีกรีความสำคัญของงาน เพื่อพิจารณาลำดับความเร่งด่วนในการจัดการงานดังกล่าว  ทั้งสามขั้นต่างมีเรื่องการมอบหมายงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตามความต้องการของปริมาณและลักษณะเฉพาะของงานแต่ละชิ้น ”
  เล่าปี่สารภาพว่า “ หากพิจารณาตามการแบ่งขั้นของเทคนิคการบริหารเวลาแล้ว ข้าฯ ยอมรับว่าวิธีของข้าฯอยู่ที่ขั้นต่ำ เพราะใช้แค่สลิปบันทึก”
  ขงเบ้งชี้ไปที่ถังเหล็กกับกองวัสดุที่ผู้ช่วยได้เตรียมไว้มุมห้องพร้อมกล่าวว่า “ คำตอบของการบริหารขั้นสูงอยู่ในถังเหล็กใบใหญ่นี่แหละ!  ความจุของถังใบนี้ เปรียบเสมือนขีดความสามารถของคนคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง ก้อนกรวดเปรียบได้กับงานที่สำคัญและเร่งด่วน  ก้อนหินคือภาระที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน  เม็ดทรายเปรียบได้กับภาระที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ และน้ำคือหน้าที่ที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ”
  ขงเบ้งอธิบายพลางวาดผังประกอบคำอธิบายดังตารางประกอบด้านล่างนี้
 

       
  “ ปกติท่านเน้นงานประเภทใด ”  ขงเบ้งถาม
  “ ก็ต้องเป็นประเภท ก.”  เล่าปี่ตอบอย่างไม่ลังเล
  “ แล้วงานประเภท ข. ล่ะ ” ขงเบ้งถามต่อไป
   เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯ ตระหนักถึงความสำคัญของงานประเภท ข. แต่ไม่มีเวลาพอที่จะสนใจมัน”
  “ เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ”  ขงเบ้งถามพลางใส่กรวดลงไปในถังเหล็กจนเต็มแล้วพยายาม
   ใส่ก้อนหินตามซึ่งใส่ไม่ได้  เล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “
   “ และหากเปลี่ยนวิธีบรรจุใหม่ล่ะ ”  ขงเบ้งถามต่อพลางใส่ก้อนหินทีละก้อนเข้าไปในถังก่อนจนใส่ไม่ได้แล้วจึงถามเล่าปี่อีกว่า  “ ตอนนี้ถังเหล็กเต็มแล้วจะใส่ลงไปอีกไม่ได้ใช่ไหม?”   ซึ่งเล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “  
    “ จริงหรือ ? ”  ขงเบ้งถามแล้วหยิบก้อนกรวดใส่เข้าไปข้างบนถังแล้วเขย่าให้ก้อนกรวดตกลงไปในถังจนหมด  “ บัดนี้ถังเหล็กใบนี้ใส่อะไรลงไปอีกได้หรือไม่? ” ขงเบ้งพูดพลางเทเม็ดทรายลงไปจนหมด  “ แล้วทีนี้ล่ะ ใส่อะไรลงไปอีกได้ไหม? ”  ขงเบ้งถามต่อ แต่ก่อนที่เล่าปี่มีโอกาสตอบ ขงเบ้งก็ตักน้ำที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในถังเหล็กอีกจนหมด  “ ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของการทดลองนี้หรือยัง ? ” เล่าปี่ตอบว่า “ เข้าใจแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่เกี่ยวกับการจัดการแบบแยกประเภทและเลือกการจัดการก่อนหลังใช่ไหม ? ”
   ขงเบ้งตอบว่า “ ใช่แล้ว  การทดลองชี้ให้เห็นว่าหากถังเหล็กตั้งแต่แรกก็เติมเต็มด้วยก้อนกรวด ทราย  และน้ำ  ก็คงไม่มีโอกาสใส่ก้อนหินลงไปได้  แต่ถ้าใส่ก้อนหินลงไปก่อน  ในถังยังมีเนื้อที่ที่จะใส่สิ่งอื่นๆเข้าไปได้อีก ดังนั้น การบริหารเวลาที่ได้ผลต้องดูว่า อะไรคือก้อนหิน อะไรคือก้อนกรวด เม็ดทรายและน้ำ และไม่ว่าจะเป็นประการใดก็ต้องใส่ก้อนหินลงไปในถังเป็นอันดับแรก ”
   เล่าปี่ยังถามว่า “ แล้วการวิเคราะห์แยกแยะเรื่องต่างๆออกเป็นสี่หมวดนี้มีผลอย่างไร ”
   ขงเบ้งตอบว่า “ บุคคลจำพวกที่ว้าวุ่นอยู่กับเรื่องราวประเภทก้อนกรวดย่อมมีความรู้สึกถูกเวลากดดันและวนเวียนอยู่ในแดนวิกฤตจนอ่อนล้า  พวกที่เน้นเรื่องประเภทเม็ดทรายจะขาดพลังสร้างสรรค์  ชอบฟังคำพูดเพราะหู คบคนแบบผิวเผิน  พวกที่นิยมเรื่องราวประเภทน้ำมักบกพร่องเรื่องสำนึกรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องสารทุกข์สุกดิบของตนเอง ”
   เล่าปี่ถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่ว่าถ้าเน้นก้อนหินมากเกินไปจะมองข้ามก้อนกรวด เพราะก้อนกรวดมากับความเร่งด่วน ? “
   “ ท่านทราบไหมว่าก้อนกรวดมาจากไหน? ก็มาจากก้อนหินที่แตกสลายไง ” ขงเบ้งตอบ “ คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประเภทก้อนหินจะมีก้อนกรวดน้อย  คนที่เน้นก้อนกรวดก็จะมีก้อนกรวดเยอะตลอด “  ขงเบ้งสอนต่อไปว่า  “ คนที่อิงเรื่องประเภทก้อนหินเป็นคนมีประสิทธิภาพ เพราะเขาจะเก่งในการวิเคราะห์สถานการณ์ เวลาและสิ่งแวดล้อม  สามารถจับประเด็นหลักของปัญหา สามารถจัดการกับเรื่องเร่งด่วนและควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกินกว่าเหตุ  กล้าฟันธงและใช้มาตรการป้องปราม  บุคคลจำพวกนี้จะมีวิสัยทัศน์  มีอุดมการณ์ เคารพ ระเบียบ สามารถควบคุมตัวเอง  ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสามารถทำงานชิ้นใหญ่ได้ ”
   เล่าปี่ชื่นชอบทฤษฎี “ วัตถุในถัง “ ของขงเบ้งเป็นอย่างมากพร้อมกับสารภาพว่า “ มาวันนี้ข้าฯเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการต่อสู้ของข้าฯทำไมจึงยังลุ่มๆดอนๆ  เพราะแม้ว่าข้ามีขุนพลเก่งๆเช่นกวนอูและเตียวหุย  แต่พวกเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไรตราบใดที่คนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างพวกเขาจมปลักอยู่กับเรื่องจิ๊บจ๊อย  กับทำงานลักษณะ“ เก็บเม็ดงาแต่ทิ้งแตงโม “ (เจี่ยนเลอจือหมา ติวเลอซีกวา)  ขืนดำเนินตามวิธีนี้ต่อไป ความพยายามของข้าฯที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐีนัมเบอร์วันในแผ่นดินก็คงเป็นได้แค่ความฝัน ! ”

วันจันทร์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:เชสเตอร์กริล

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:เชสเตอร์กริล:

รวยด้วยแฟรนไชส์:เชสเตอร์กริล


อ่านแล้วรวย มารวยด้วยแฟรนไชส์อาหารที่โด่งดังอีกแบรนด์หนึ่ง บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด เป็นผู้บริหาร ร้านอาหารไทยฟาสต์ฟู้ด ภายใต้ตราผลิตภัณฑ์ "เชสเตอร์กริลล์" ซึ่งกำเนิดขึ้นด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์อาหารคุณภาพเพื่อคนไทย ด้วยความคิดริเริ่มจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของเมืองไทย ที่มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 80 ปี มีนโยบายที่จะขยายกิจการสาขาผ่านระบบแฟรนไชส์


เหมือนเดิม คำถามแรก เท่าไหร่
600,000 บาท


มีค่าอย่างอื่นอีกไหม

เงื่อนไขการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ร้านเชสเตอร์ กริลล์ มี 3 รูปแบบ
  1. Restaurant
    • พื้นที่ 51 ตารางเมตร ขึ้นไป
    • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ก่อนVat)600,000 บาท
    • ค่ารอยัลตี้* 4% ของยอดขาย
    • ค่าการตลาดส่วนกลาง* 3% ของยอดขาย
  2. Satellite
    • พื้นที่ 26 – 50 ตารางเมตร
    • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ก่อนVat)400,000 บาท
    • ค่ารอยัลตี้* 4% ของยอดขาย
    • ค่าการตลาดส่วนกลาง* 3% ของยอดขาย
  3. Kiosk
    • พื้นที่ ไม่เกิน 25 ตารางเมตร
    • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ก่อนVat)200,000 บาท
    • ค่ารอยัลตี้* 4% ของยอดขาย
    • ค่าการตลาดส่วนกลาง* 3% ของยอดขาย
* ชำระรายเดือน
  • ยอดขาย หมายถึง ยอดขายหลังหักภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %
  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้าชำระ ณ วันที่เซ็นต์ตกลงเป็นแฟรนไชส์
  • การเปิด Kiosk จะต้องเปิดร้านขนาด Satellite และ Restaurant ก่อนและตั้งอยู่ในศูนย์เดียวกัน

มีกี่สาขาแล้วตอนนี้
163 สาขา
แบ่งเป็นร้านของบริษัทฯ จำนวน 60 สาขา ร้านแฟรนไชส์ จำนวน 90 สาขา

เขาวางหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการเลือกสรรแฟรนไชซี่อย่างไรบ้าง

วันอาทิตย์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์ : เดอะพิซซา คอมปานี

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์ : เดอะพิซซา คอมปานี:

รวยด้วยแฟรนไชส์ : เดอะพิซซา คอมปานี


อ่านแล้วรวย แนะนำ แฟรนไชส์ธุรกิจอาหารอีกตัวที่ ดี เด่น ดัง

เขาบอกว่ายังไงบ้าง
ความสำเร็จเกิดขึ้นจากประสบการณ์และความทุ่มเทมาตลอด 30 ปี ในการบริการด้านอาหารและความเอาใจใส่ต่อลูกค้า จนถึงวันนี้ เรามีลูกค้ามาใช้บริการรวมกว่า 120 ล้านครั้ง

เอาคำถามแรกตรงประเด็นเลย ราคาเท่าไหร่
เก้าล้านบาท

ค่าใช้จ่ายมีแค่นี้หรือ

รูปแบบและงบประมาณการลงทุน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี
  • งบการลงทุนในการเปิดร้านขนาด 240 ตรม. หรือในอาคารพาณิชย์ 2 ห้อง จะใช้งบลงทุนประมาณ 11 – 12 ล้านบาท
  • ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องจ่ายค่าการตลาด 5% ของยอดขายทุกเดือน และอีก 5% ของยอดขายสำหรับค่ารอยัลตี้ฟี
เก้า บวก สิบเอ็ด นี่มันยี่สิบพอดิบพอดี

(แต่เขาบอกว่าการลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานอย่างจริงจัง จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาหลายเท่า)

ระยะคืนทุนนานเท่าไหร่ละ
ไม่ได้บอกไว้

มีกี่สาขาแล้วละตอนนี้
188 สาขา โดยแบ่งสัดส่วนเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ราว 70% และบริษัทเป็นผู้ลงทุนเอง 30%
ความเป็นมาเขาเป็นยังไง

วันเสาร์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:โชคดีติ๋มซำ

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:โชคดีติ๋มซำ: "โชคดีติ๋มซำ ร้านอาหารที่ให้บริการติ่มซำนึ่งสด ในรูปแบบ Fast Casual Restaurant มากกว่า 70 เมนู พร้อมกับเครื่องดื่มและชาเพื่อสุขภาพ รวมถึงบั..."

ร้านอาหารที่ให้บริการติ่มซำนึ่งสด ในรูปแบบ Fast Casual Restaurant มากกว่า 70 เมนู พร้อมกับเครื่องดื่มและชาเพื่อสุขภาพ รวมถึงบักกุดเต๋ อาหารบำรุงสุขภาพ


เขามีที่มายังไง

ติ่มซำเป็นอาหารว่างที่ชาวจีนนิยมทานคู่กับการจิบน้ำชา หรือทานเพื่อเรียกน้ำย่อย แต่เดิมติ่มซำรสเลิศจะมีบริการเฉพาะในภัตตาคารใหญ่ๆเท่านั้น ด้วยความที่ต้องการให้คนไทย ได้ลิ้มรสอาหารว่างที่เอร็ดอร่อยได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

คุณธีรภพ ศิรประภาธรรม จึงได้ก่อตั้ง "โชคดีติ่มซำ เรสเตอรองค์" สาขาบรรทัดทองขึ้นเป็นสาขาแรก ในปี พ.ศ.2543 โดยมีแนวคิดที่ต้องการนำเสนอติ่มซำรูปแบบใหม่เป็นเจ้าแรกในกรุงเทพฯ นั้นคือ ติ่มซำนึ่งสดๆ พร้อมด้วยบักกุดเต๋รสกลมกล่อม

ทำให้โชคดีติ่มซำ ได้กระแสตอบรับที่ดี เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยความสด สะอาด ความพิถีพิถัน รวมถึงเมนูอร่อยที่มีให้เลือกกว่า 60 เมนู รวมถึงการเปิดให้บริการแบบ 24 ชม. โดยมีจำนวนสาขาทั้งหมด 24 สาขา

ค่าแฟรนไชส์เขาคิดเท่าไหร่ 655,000 บาท ทำไมเป็นเศษก็ไม่รู้

  • งบประมาณการลงทุน (รวมค่าธรรมเนียมแรกเข้าแล้ว) ประมาณ 2.5-3.7 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่)
  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (แฟรนไชส์ฟี) 655,000 บาท (สัญญา15ปี)
  • ค่า Royalty Fee 4% ของยอดขาย
  • ค่า Marketing Fee 2% ของยอดขาย

2-3 ปี (ขึ้นอยู่กับทำเลและสถานที่)


  • ติ่มซำมากกว่า 60 เมนู
  • ติ่มซำนึ่งสดๆพร้อมเสริฟ
  • เปิดบริการ 24 ชม.
  • บักกุดเต๋ (ซี่โครงหมูต้มเครื่องยาจีน)
  • กังฟูชา เช่น ชาอู่หลง ชามะระ ชามะลิ ชาทิกวนอิม ฯลฯ
24 สาขา
21 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล, 3 สาขา ในต่างจังหวัด

  • มีจิตใจหนักแน่น รักงานด้านบริการ เข้าใจในวิธีการบริหารลูกค้า
  • งบประมาณการลงทุนเพียงพอ มีประวัติการเงินดี
  • ตั้งใจจริงในการดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง
  • พร้อมที่จะปฎิบัติตามระบบแฟรนไชส์ของโชคดีติ่มซำ
  • มีบุคลิกภาพที่ดี มีความเชื่อมั่น และเปี่ยมด้วยคุณธรรม

  • สิทธิในการใช้ชื่อ รูปแบบ และโลโก้ อันเป็นเอกลักษณ์ของโชคดีติ่มซำ ที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดี
  • สิทธิในการสั่งซื้อสินค้า วัตถุดิบ และเครื่องปรุงล้วนผลิตจากบริษัทฯ
  • ช่วยเหลือในการคัดเลือก และสรรหาตัวแทนจำหน่าย วัตถุดิบที่นำมาใช้รวมกันในการประกอบอาหาร
  • ให้คำปรึกษาออกแบบ ตกแต่งร้านให้ได้ตามมาตรฐานของโชคดีติ่มซำ
  • จัดฝึกอบรมพนักงานของแฟรนไชส์ซี่
  • ให้ยืมเอกสารคู่มือการบริหารหน้าร้าน รวมทั้งสูตร (Recipe) ต้นทุนอาหารและเครื่องดื่ม
จุดเด่นที่เขาคุย
  1. สามารถเปิด 24 ชม. เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
  2. มีการบริหารจัดการร้านด้วยระบบคอมพิวเตอร์
  3. มีทีมงาน Support แฟรนไชส์ ตลอด 24 ชม
ติดต่อ คุณธีรภพ ศิรประภาธรรม
ที่อยู่ 48/1-4 จุฬาซอย 7 ถนนบรรทัดทอง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทร 02-611-5745
แฟกซ์ 02-611-5747
เวปไซต์ www.chokdeedimsum.com
อีเมล์ hanan@chokdeedimsum.com


วันศุกร์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:นีโอสุกี้

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:นีโอสุกี้:
อ่านแล้วรวย วันนี้เกิดคันไม้คันมือ จึงขอนำข้อมูลของแฟรนไชส์อาหาร มาให้ศึกษาดูกัน 3 เรื่อง
เผื่อแฟนที่สนใจ รวยด้วยแฟรนไชส์จะได้รวยกันนะครับ
วันนี้จะเป็นเรื่อง นีโอสุกี้
ครั้งต่อไปจะเป็นเรื่อง โชคดีติ๋มซำ
และครั้งสุดท้ายจะเป็นเรื่อง เดอะพิซซา คัมปานี
เล่าแบบสืบมาอย่างดีแล้วครับ และไม่ได้โฆษณา
เพียงต้องการแชร์วิธีรวยแบบแฟรนไชส์
เขามีค่าแรกเข้าเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายเริ่มแรกมีค่า FRANCHISE FEE แรกเข้าอย่างเดียวเท่านั้นคือ 300,000 บาท ต่อสาขาตลอดระยะเวลาการเป็น FRANCHISEE

เขามีค่าอย่างอื่นบ้างไหม : มี 4 อย่างตามนี้แหละ
ส่วนที่ 1 ได้แก่ ค่าตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ และ งานก่อสร้าง ประมาณ 1,500,000 บาท ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ค่าออกแบบตกแต่งภายใน งานสีเฟอร์นิเจอร์ภายในทั้งหมด ป้ายกล่องไฟโลโก้ งานปูน งานประปา ค่าวัสดุก่อสร้างภายใน ค่าจ้างงานเหมาไฟฟ้า ค่าติดตั้งเครื่องปรับอากาศ งานเดินระบบแก๊ส เป็นต้น

ส่วนที่ 2 ได้แก่ เครื่องใช้สำนักงาน ประมาณ 70,000 บาทประกอบไปด้วย เครื่องตอกบัตร เครื่องแฟกส์ เครื่องแคช ตู้เซฟ เครื่องเสียง และ อื่นๆ เป็นต้น

ส่วนที่ 3 ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ประมาณ 190,000 บาท ได้แก่ ตู้เย็นต่างๆ ไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว เครื่องปั่น เตาอบ เครื่องกรองน้ำ รถเข็น เตาและ อื่นๆ

ส่วนที่ 4 ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้ ประมาณ 130,000 บาทประกอบไปด้วย ตาชั่งต่างๆ กาต้มน้ำ กาน้ำซุป หม้อ มีด คอนโด จานแบ่ง ถ้วยน้ำซุป ต่างๆ เป็นต้น

ข้อสังเกต งบลงทุนนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของสาขา แต่ตกลงแล้วก็ 2.2-2.5 ล้าน นี่ยังไม่รวมค่าที่นะครับพี่น้อง
ค่าใช่จ่ายดำเนินการหาไม่เจอครับ แต่ประมาณนี้นะ
-ค่าเช่าที่ 200 ตรม X บาท
-ค่าจ้างคน 25 คน Y บาท
-ค่าต้นทุนวัตถุดิบ Z บาท
-ค่าน้ำค่าไฟ Q บาท
ดังนั้นนอกจากมีตังจ่ายครั้งแรก 2.5 ล้าน แล้ว ยังต้องมีค่าดำเนินการสำรอง 4 เดือน 4*(X+Y+Z+Q) บาท

วันอังคาร

คนรวย:โชค บูลกูล

           อ่านแล้วรวย  นอกจากจะเล่าเรื่องของความรู้เทคนิกต่างๆแบบฮาวทูเพื่อเล่าสู่กันฟังกับคุณแล้ว  จะพยายามหา "คนรวย"มาถ่ายทอดให้ท่านได้แง่คิดของคนรวยเหล่านี้ว่ามีวิธีคิดหรือปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขารวย  ลองดูคนแรกกันครับ  ประเมินว่าน่าจะรวย พันล้าน เจ้าของฟาร์มโชคชัย
          (อ่านให้ถึงหลัก 30 ข้อด้านล่างนะครับ แล้วจะได้ความคิดหลักว่าเขาทำยังไงจึงรวย)              
           โชคชัยฟาร์ม เมื่อ 10 กว่าปีก่อนกับตอนนี้ นอกจากจะผิดกันด้วยจำนวนผู้คนที่คลาคล่ำอยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด วัว ม้า และสัตว์ทุกตัวในฟาร์มก็ดูคึกคักตามไปด้วย รวมถึงต้นไม้ในพื้นที่ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมให้ชาวเมืองได้แวะเข้าไปฟอกปอดกันได้เต็มที่ 

         10 ปีที่แล้ว โชคพาลูกน้องนับ 100 คน ไปช่วยกันปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนงงว่า จะปลูกไปทำไม เพราะคนกลุ่มนี้เป็นเกษตรกรที่คุ้นเคยกับต้นไม้อยู่แล้ว 

                10 ปีผ่านไป โชคพาพวกกลับไปดูต้นไม้ที่ปลูกไว้อีกครั้ง พร้อมกับให้ข้อมูลกับพวกเขาว่า ต้นไม้ 1 ต้น ให้ออกซิเจนนับร้อยลูกบาศก์ลิตร เพื่อบอกให้รู้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่แค่ได้ประโยชน์ในพื้นที่ฟาร์ม แต่พวกเขายังทำประโยชน์ให้กับสังคมอีกด้วย เรื่องแบบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดในภาวะโลกร้อนเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ 

               วิธีที่โชคเลือกใช้ เป็นหนึ่งในปรัชญาการบริหารฟาร์มโชคชัย ในเรื่องการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง รวมทั้งเป็นการสื่อสารด้วยเทคนิคง่ายๆ จากการปฏิบัติจริง เพียงแค่ต้องอาศัยระยะเวลาเข้าช่วย 

               เรื่องง่ายๆ แบบนี้ ต้องยกให้กับความช่างคิดของผู้นำอย่าง โชค บูลกุล ประธานกลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย 


              ยังมีเรื่องเล็กๆ อีกหลายเรื่องในฟาร์มแห่งนี้อีกมาก ที่ทำให้ฟาร์มที่เคยเกือบจะเอาตัวไม่รอดในยุควิกฤตปี 2540 กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง ซึ่งทุกเรื่องราวล้วนเกิดขึ้นจากการหล่อหลอมวัฒนธรรมของคนในองค์กร ให้มีความร่วมมือร่วมใจ เกิดความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของ และพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับฟาร์ม ด้วยการเห็นคุณค่าของงาน ที่ให้ผลตอบแทนกว้างเกินขอบรั้วของฟาร์ม 

วันเสาร์

อ่านแล้วรวย:เพิ่มยอดขาย จะได้รวย


       อ่านแล้วรวย  จะพูดเคล็ดลับสร้างความร่ำรวยต่อจากบทความที่แล้ว  ขายไง ให้รวย  เมื่อจะพูดกันถึง  "การเพิ่มยอดขาย" ผมตั้งหลักการเบื้องต้นว่านั่นแสดงว่าเราต้องมี "ยอดขาย" ก่อน เมื่อมีหรือเมื่อรู้แล้วว่ายอดขายของตนมีเท่าไหร่ ค่อยไปว่ากันต่อไปว่าแล้วอยากจะเพิ่มยอดขายไหม? จะเพิ่มยอดขายกันอีกเท่าไหร่? จะเพิ่มยอดขายกันอย่างไร? และจะเพิ่มยอดขายกันเมื่อไหร่? 
        เป็นไปได้มากว่าการที่ยอดขายไม่เพิ่มนั้น อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ :- 
      - เราขยันขายน้อยไปหน่อย เรายังขายไม่เต็มที่
      - เราขายสินค้าเพียงบางชนิด ทั้งๆที่เรามีผลิตภัณฑ์ที่จะขายอยู่ตั้งเป็นร้อยๆชนิด
      - เราขายให้กับลูกค้าที่มีกำลังซื้อต่ำมากเกินไป ซึ่งทำให้แม้ขายได้ปริมาณมาก
        แต่กลับมีมูลค่าเป็นตัว เงินน้อย
      - เราไม่เคยเก็บสถิติ หรือจดบันทึกการทำงาน ไม่เคยทำสรุปใดๆไว้เลยว่าคนที่ซื้อซื้อเพราะอะไร
        คนที่ไม่ซื้อ ไม่ซื้อเพราะอะไร

วันพุธ

อ่านแล้วรวย:ขายไง ให้รวย The guidebook of How to sale


                     อ่านแล้วรวยมองว่าเราแสวงหาเทคนิควิธีการเพื่อตอบคำถามว่า “จะทำอย่างไร?”จึงจะรวย “จะใช้วิธีไหน?”จึงจะรวย โดยลืมถามคำถามพื้นฐานว่า “นี่เรากำลังจะทำอะไร?” “แล้วเราจะทำมันไปทำไม?” ผลสุดท้าย หลายคนได้ทำอะไรต่อมิอะไรไปมากมาย เพื่อค้นพบในที่สุดว่าไม่ได้อะไรจากการทำอะไรๆเหล่านั้นเลย ปัญหาก็ยังแก้ไม่ได้ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม    เผลอๆแย่กว่าเดิมอีก! เหมือนอย่างที่สตีเฟ่น อาร์ โควี่ย์ เคยกล่าวไว้ในหนังสือของเขาว่า “มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราหาบันไดได้แล้ว แต่ปรากฏว่าเราผ่าเอาบันไดนั้นไปพาดผิดตึก!”
          ดั่งกรณีเรื่องของการตลาด การขาย และงานบริการนั่นก็เช่นกัน อ่านแล้วรวยเห็นว่า  นับวันเราก็ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นโดยใช่เหตุ หลายคนวิ่งเข้าไปตะลุมบอนกับความสลับซับซ้อน โดยลืมหลักการพื้นฐานไปอย่างหนึ่งที่ว่า “ความเรียบง่ายเท่านั้นแหละที่ดีที่สุด” (Simplicity is the best)
           หากจะถามว่าการตลาดคืออะไร? คำตอบที่ฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์ด้านการตลาดตอบก็คือ การตลาดคือศิลปะของการค้นหาและรักษาลูกค้า” หรือจะตอบแบบขยายความไปอีกหน่อยก็ได้อีกว่า “การตลาดคือศาสตร์และศิลป์ของการค้นหา รักษา และเพิ่มจำนวนลูกค้าที่สามารถทำกำไรได้” นั่นละคือคำตอบ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะใช้เครื่องมือทางการตลาดใดๆ ที่ถือว่าทันสมัยใหม่สุด กำลังอินเทร็นด์สุดๆ ซื้อหามาด้วยราคาแพงสุดๆ ก็ต้องกลับไปที่หลักการพื้นฐานว่าแล้วมันช่วยให้เราค้นหา รักษา และเพิ่มจำนวนลูกค้าที่สามารถทำกำไรได้หรือไม่
          และหากจะถามว่าการขายคืออะไร? คำตอบที่โจ แกนโดลโฟร์ ตัวแทนประกันชีวิตที่เป็นตำนานของคนในวงการประกันชีวิต ชาวอเมริกัน ตอบได้อย่างเรียบง่ายที่สุดก็คือ “การขายคือ 98% ของความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และ 2% ของความรู้ความเข้าใจในตัวสินค้า!” ท่านคิดว่ามีคำตอบอะไรที่สั้น กระชับ เรียบง่าย ตรงประเด็น และสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานมากที่สุด มากกว่านี้อีกไหม?

วันอาทิตย์

รวยด้วยแฟรนไชส์:เลือกภรรยา กับ เลือกแฟรนไชส์ อันไหนต้องดูดีกว่า choose franchise How to

เรื่องต้องคิด-ต้องถาม  ก่อนการตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์นะพี่

ผมว่าเลือกแฟรนไชส์ก็คล้ายกับเลือกภรรยา
        อ่านแล้วรวยกำลังพูดถึงแฟรนไชส์ที่มีระบบเป็นมาตรฐานนะครับ  ซึ่งจะมีสัญญาผูกพันชัดเจน  ไม่ใช่ประเภทหลอกขายของโดยใช้ชื่อแฟรนไชส์แอบแฝง   ในสัญญาจะมีพวกนี้ครับ
      11 ข้อเกี่ยวกับสัญญาและข้อผูกพันที่ต้องพิจารณาครับพี่  ลองเขียนชื่อแฟรนไชส์ที่พี่สนใจสัก 5 ตัว เหมือนมีสาวๆมาติดพันเรา 5 คน  แล้วพี่ลองดูว่าแต่ละตัว(คน) 11 หัวข้อนี้เป็นอย่างไรบ้าง  ทำทุกตัวครบ 11 ข้อแล้วนำทั้ง 5 ตัวมาเปรียบเทียบกันนะครับ   จะพอมองได้ในมิติของสัญญาว่าแฟรนไชส์ไหนน่าจะดีที่สุด   ผมมองว่าแฟรนไชส์ที่ดีกว่ามักมีข้อสัญญาที่ชัดเจนและรัดกุมมากกว่า  ซึ่งก็เหมือนมิติด้านอื่นที่เขาคงชัดเจนและรัดกุมมากกว่าเช่นกัน  ถ้าเป็นผมนะพี่  ผมเลือกอันที่ชัดเจน/รัดกุม  ที่ไหนสัญญาหลวม  ระบบมันก็หลวมนั้นแหละ  เราต้องการซื้อระบบที่แข็งแรง  ถ้าทำหลวมๆ เราทำเองก็ได้  ไปเสียตังค์ให้มันทำไม 
                   1.แต่งงานอยู่กับภรรยาตลอดชีวิต แต่งกับแฟรนไชส์ละ อยู่นานเท่าไหร่
  ระยะเวลาของข้อผูกมัดคือ ช่วงเวลาที่สัญญาหรือนิติกรรมมีผลบังคับใช้ระหว่างแฟรนไชซอและแฟรนไชซี่ ซึ่งโดยปกติแล้วจะถูกกำหนดโดยฝ่ายแฟรนไชซอ สัญญานี้อาจมีระยะเวลาตั้งแต่ 3 ปีจนถึง 10 ปีหรือมากกว่านั้น โดยทั่วไปยิ่งอายุสัญญานานเท่าใด ค่าใช้จ่ายในการซื้อแฟรนไชส์ก็จะยิ่งมากขึ้น และเงื่อนไขของการต่อสัญญาก็มักจะมีการระบุไว้เรียบร้อย ในบางกรณี แฟรนไชซออาจอนุญาตให้มีการต่อสัญญาโดยมีระยะเวลานานเท่าเดิมโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ แต่สำหรับในบางกรณี แฟรนไชซออาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการต่อสัญญาใหม่ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะศึกษาว่าช่วงระยะเวลาของข้อผูกมัดยาวนานเท่าใดสำหรับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปในการซื้อแฟรนไชส์ เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม เพื่อหาระยะเวลาในการคืนทุน  ข้อนี้แตกต่างกันนิดคือภรรยานั้นเขา(ไม่ใช่เรา)หวังว่าจะอยู่กับเราตลอดชีวิต แต่แฟรนไชส์เขาไม่ให้เราทั้งชีวิต
                 2 ค่าสินสอดทองหมั้น กับค่าธรรมเนียมแรกเข้า 
        ค่าธรรมเนียมเริ่มต้นคือ ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่แฟรนไชซี่จะต้องค่ายให้แก่แฟรนไชซอ เพื่อให้ได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ในากรประกอบธุรกิจหรือใช้ตราหรือเครื่งอหมายการค้า/ บริการภายในระยะเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ดีแฟรนไชซอส่วนใหญ่จะเสนอบริการต่างๆ เพื่อเป็นการตอบแทนรายจ่ายนี้   แฟรนไชส์ซอก็เหมือนพ่อตาแม่ยาย  เขาประเมินค่าลูกสาวเขาตามคุณสมบัติความงาม/ความรู้/ต้นทุนที่เขารักเขาเลี้ยงดู  เขาเลี้ยงมาดีเขาก็คิดแพง  คุณพ่อแฟรนไชส์ซอร์ก็คิดเหมือนกัน   ลูกเขยที่เชื่อพ่อตาก็จะเจริญทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น การให้ความรู้และการอบรม ความช่วยเหลือในการเปิดร้านค้า หรือออกแบบจุดขาย (outlet) ที่ได้แสดงการจัดวางตำแหน่งในพื้นที่ที่เหมาะสม การให้คำปรึกษา เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นผลประโยชน์เพิ่มเติมต่อผู้ซื้อแฟรนไชส์ ดังนั้นผู้ซื้อแฟรนไชส์ควรจะต้องพยายามสอบถามว่าจะได้รับขอเสนอในบริการหรือสินค้าในลักษณะใดสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายไป โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเปิดดำเนินกิจการจนกระทั่งเกิดรายได้  อันนี้เหมือนกันเดะ  ของดีมักไม่ถูก  ต่างกันก็คือ แฟรนไชส์พาหนีไม่ได้
 3 ค่าเลี้ยงดูภรรยา กับ เงินรายงวด/ ค่าธรรมเนียมการจัดการ 

วันพฤหัสบดี

รวยด้วยการจัดการ:อย่าตกหลุมนะว่าที่เถ้าแก่ The Enterprise How to

              ความใฝ่ฝันของคนที่อยากรวย อยากเป็นนายของตัวเองมีอยู่กันทุกคน  หลายคนใจกล้า ตัดสินใจละทิ้งเงินเดือนประจำ ลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว ฝัน และมุ่งคิดจะรวย ด้วยใจเกินร้อย พร้อมทุ่มเทกำลังเต็มที่  ในการทำงานหนักสุดๆ แต่ในที่สุด กว่า 90%  ได้รับผลคือ ความล้มเหลว
 นั่นเพราะ  พวกเขายังไม่รู้ว่า  มันมีกับดักของเถ้าแก่มือใหม่ ที่คนจำนวนมากตกหลุมพรางเหล่านี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  และนี่คือกับดัก ที่เถ้าแก่มือใหม่ทุกคนต้องต้องเจอ
            1.มองภาพสวยหรู  คนที่เดินทางเข้าสู่  การเป็นเจ้าของกิจการ  มักมีความมุ่งมั่นสุดโต่ง เพราะมองเห็นขุมทองอยู่ข้างหน้า  จนยอมเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อฝ่าฟันไปถึงจุดหมายให้ได้  โดยมองข้ามรายละเอียดของความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น และนี่คือกับดักด่านแรก ที่เถ้าแก่มือใหม่ต้องเจอ
 ผู้ที่จะเป็นว่าที่เถ้าแก่ มักจะวาดฝันเห็นภาพของตัวเอง  แต่งตัวดี ใช้คำสั่ง สั่งคนโน้นคนนี้ ได้ดั่งใจ  มีคนมาพินอบพิเท่า อยู่ในสถานที่ที่ตัวเองมีอำนาจสูงสุด  และหลายคนอาจจะอ่านหนังสือปลุกใจ ในเรื่องการสร้างความรวย สร้างความสำเร็จ แล้วเกิดความมั่นใจว่า นี่แหละเข้าข่ายตัวฉันเลย ที่จะกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
 ความมั่นใจเกินไป  และมุ่งเป้าสู่ความร่ำรวย เป็นด่านแรก ที่ทำให้เถ้าแก่มือใหม่ พลาดที่จะได้รับการเตือนภัยจากผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน  หลายคนที่อ่านประวัติผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงๆ แล้วเชื่อว่า คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จเพราะความดื้อรั้น  และการเชื่อตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว องค์ประกอบของคนที่ประสบความสำเร็จนั้น  พวกเขาเรียนรู้จากข้อที่ผิดพลาดมากกว่า ข้อที่สมหวัง  
 ยิ่งเถ้าแก่มือใหม่ เห็นภาพความสวยหรูมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดความผิดหวังมากเท่านั้น จนกระทั่งบั่นทอนจิใจอย่างรวดเร็ว  จนต้องยอมแพ้


            2.ทักษะการจัดการการเงิน   แน่นอนที่สุด เถ้าแก่มือใหม่ทุกคนมักจะผิดพลาดในการบริหารเงินช่วงเริ่มต้น และนี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ชีวิตการเป็นเจ้าของกิจการจบลงในเวลาอันสั้น
 บางคน มีความพร้อมสามารถรวบรวมเงินทุนมาได้  ทั้งจากมรดก รวบรวมหุ้นเพื่อนฝูง ได้เงินมาก้อนโตหลายสิบล้าน พร้อมเต็มที่  แต่นี่ก็อาจกลายเป็นข้อเสีย  เราจะเห็น ลูกคนรวยในวงการไฮโซ ทำธุรกิจนิตยสาร เพราะอาชีพนี้มันดูเท่ห์  จัดงานเปิดตัวทุ่มทุนหมดไป 8 ล้าน  โดยไม่รู้ว่าอาชีพนี้ ทำไป 10 ปี อาจจะไม่มีทางได้กำไรขนาดนี้เลย   ทำให้เกิดการคำนวณผิดพลาดเรื่องรายรับอย่างมาก อาชีพการทำหนังสือ ถึงจะดูเท่ห์ก็จริง แต่ทุกๆวันมีแต่รายจ่าย เข้ามาอย่างรวดเร็ว  ในขณะที่รายได้จะเข้าอย่างเชื่องช้ามาก  ทำให้กิจการดังกล่าวจำเป็นต้องปิดตัวไปอย่างเงียบๆ
     นี่คือ กับดัก ของเถ้าแก่มือใหม่  ที่ขาดทักษะการจัดการทางการเงิน   นี่เป็นตัวอย่างของปัญหาของรายที่มีเงินมาก  แต่บางรายเกิดปัญหาเพราะมีเงินน้อย
             3.เงินไม่พอ

วันพุธ

รวยอสังหา บทที่ 1ตรวจสอบก่อนซื้อที่ดินซิ จะได้รวย Real estate investment How to lesson 1

   การเลือกซื้อที่ดินเพื่อสร้างความร่ำรวยนั้น  อ่านแล้วรวย คิดว่ามีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงดังต่อไปนี้ครับ

1.    ตรวจสอบว่าที่ดินนั้นอยู่ในแนวเวนคืนที่ดิน หรือไม่ เนื่องจากที่ดินที่ถูกเวนคืน แม้เจ้าของจะได้รับเงินค่าทดแทน แต่อาจจะไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการนำที่ดินนั้นไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น

2.    ตรวจสอบว่าที่ดินนั้นถูกอายัดหรือไม่ การตรวจสอบนั้นให้ไปตรวจสอบกับกรมที่ดิน ซึ่งถือว่าเป็นการตรวจสอบกรรมสิทธ์ในที่ดินของผู้ขายไปในตัวด้วย ว่าคนที่จะขายที่ให้เรานั้น มีกรรมสิทธ์ถูกต้องหรือใม่

3.    ตรวจสอบว่าที่ดินตาบอดหรือเปล่า ที่ดินตาบอดหมายถึงที่ดินที่ไม่มีส่วนเชื่อมต่อกับถนนสาธาณะ หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากที่ดินนั้นถือว่าไม่มีทางเข้าออก ซึ่งในทางกฎหมายสามารถแก้ไขได้ แต่ก็ต้องตกลงและเสียค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าของที่ดินแปลงที่เราจะขอใช้เป็น ทางเข้าออกสู่ที่ดินของเรา ซึ่งถ้าตกลงกันเองได้ จะถือเป็น”ภาระจำยอม”ซึ่งไปดำเนินการกันเองได้ที่กรมที่ดิน แต่ถ้าตกลงกันเองไม่ได้ ก็ต้องพึ่งศาลตัดสินเป็น  "ทางจำเป็น"  เข้าสู่ที่ดินของเรา ซึ่งศาลก็จะให้เราเสียค่าใช้จ่ายให้แก่เจ้าของที่ดินแปลงที่เราจะขอใช้เป็น ทางเข้าออกเช่นกัน

4.    ตรวจสอบว่าที่ดินนั้นสามารถใช้ก่อสร้างอาคาร ประเภทใดได้บ้าง และมีข้อจำกัดในการก่อสร้างแค่ไหน โดยการตรวจสอบจากผังเมืองรวมในพื้นที่ (ปัจจุบันผังเมืองได้กำหนดการใช้ที่ดินออกเป็นสีๆ แต่ละสีกำหนดให้สามารถสร้างหรือห้ามสร้างอาคารแต่ละประเภทไว้ต่างกัน)
 

วันเสาร์

รวยด้วยการจัดการ:7สิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้คุณรวยในปีนี้ 7 things make for rich this year


บทความแรกของ generationRich
 ช่วยวิจารณ์ด้วยนะครับ
          เท่าที่ผมได้สดับตรับฟังมา ผนวกกับการสังเกตสังกาด้วยตัวของผมเอง ทำให้สามารถพอจะสรุปได้ว่า ในยุคนี้ สมัยนี้ ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่า “ยุคเศรษฐกิจใหม่” หรือ “ยุคดิจิตัล” หรือยุค ฯลฯ อะไรก็ตามที ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติเป็นคนพื้นๆ คนธรรมดาๆ มีผลงานอยู่แค่ในระดับ “ดีโดยเฉลี่ย” หรือ “ดีระดับสามัญ” หรือแม้แต่ “ดีตามมาตร-ฐาน” เพียงเท่านั้น เห็นท่าว่าจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เขาต้องมีอะไรมากกว่านั้น จึงจะมีชีวิตอยู่ในโลกของการแข่งขัน อันโหดร้ายแบบนี้ได้ 
     สินค้าและบริการที่ใครต่อใครต่างช่วงชิงแย่งกันผลิต แย่งกันออกมานำเสนอขายแก่ผู้คนก็เช่นกัน การมีสินค้าหรือบริการที่ดีแค่พื้นๆ ดีธรรมดาๆ ดีตามมาตรฐาน ก็ไม่มีทางที่จะดำรงคงอยู่ในตลาดได้ เว้นแต่จะต้องมีอะไรดีมากกว่านั้น จึงจะพอประสบความสำเร็จได้ 
     ในมุมมองของผม ไม่ว่าจะเป็น “คน” หรือ “ของ” (สินค้า/บริการ) จะต้องมีคุณสมบัติ หรือมีสมรรถนะ อย่างน้อย 7 ประการ ดังต่อไปนี้ จึงจะสามารถแข่งขันกับเขาได้ (ส่วนว่าจะชนะหรือไม่ ก็ต้องไปว่ากันอีกชั้นหนึ่งต่อไป) 
         1. ต้องเร็วกว่า
         2. ต้องมากกว่า
         3. ต้องดีกว่า
         4. ต้องประหยัดกว่า
         5. ต้องง่ายกว่า
         6. ต้องเอนกประสงค์กว่า และ
         7. ต้องสุขกว่า
 
     ต้องเร็วกว่า : ถ้าเป็นคน ก็ต้องเป็นคนที่ทำงานได้รวดเร็วกว่าคนอื่น แก้ปัญหาได้รวดเร็วกว่า สนองตอบลูกค้าได้รวดเร็วกว่า ฯลฯ
      ถ้าเป็นสิ่งของ หรือสินค้า ก็ต้องเป็นสินค้าที่ใช้งานได้สะดวกและรวดเร็ว เช่น ถ้าเป็นเครื่องถ่ายเอกสารก็ต้องถ่ายสำเนาได้รวดเร็ว ในหนึ่งนาทีถ่ายได้เป็นร้อยแผ่น

     ต้องมากกว่า : คนที่ทำงานได้ปริมาณงานมากกว่าคนอื่น ในเวลาที่เท่ากัน ย่อมได้เปรียบ ย่อมเป็นต่อ ย่อมเข้าตากรรมการมากกว่า คำว่า “ต้องมากกว่า” นี้ หมายรวมถึง การที่สามารถทำงานได้ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่าคนอื่นด้วย เช่น ในขณะที่คนอื่นเขาทำงานกันวันละ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าเราสามารถทำงานได้ถึงวันละ 10 ชั่วโมง หรือ 12 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เราย่อมเป็นคนที่ไม่ธรรมดา
      สินค้า หรือผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ที่ให้คุณประโยชน์ใช้สอย หรือคุณค่า ได้มากกว่า ย่อมชนะใจผู้บริโภคได้มากกว่า

      ต้องดีกว่า : เป็นเรื่องของคุณภาพ คนที่ทำงานได้คุณภาพของงานที่ดีกว่า ก็ย่อมก้าวหน้ามากกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า
     สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ที่มีคุณภาพดีกว่า ก็แน่นอนอยู่แล้ว ผู้คนเขาก็ย่อมอยากซื้ออยากใช้มากกว่า

     ต้องประหยัดกว่า : คนที่ทำงานเกินเงินเดือน ทำแล้วหน่วยงานรู้สึกคุ้มค่าที่จ้างเขาไว้ ได้คนอย่างเขาไว้ทำงาน เหมือนกับจ้างคนสองคนเลยทีเดียว แบบนี้แหละที่ทำให้ใครๆ ก็อยากจ้างเขา เพราะจ้างเขาแล้ว ประหยัดกว่าจ้างคนอื่น
      สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการก็เช่นกัน ผู้ซื้อซื้อไปแล้วรู้สึกคุ้มค่า ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา มากกว่ายี่ห้ออื่น เขาก็อยากใช้ยี่ห้อนี้ไปเรื่อยๆ

     ต้องง่ายกว่า : ต้องเป็นคนที่สามารถทำเรื่องซับซ้อน ให้เรียบๆ ง่ายๆ หรือในอีกความหมายหนึ่ง ต้องเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่มีพระยศพระเกียรติ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย ว่าง่ายๆ ใช้งานง่ายๆ ไม่ใช่คนเรื่องมาก หรือชอบทำตัวให้เป็นคนยุ่งยาก
     สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ก็เช่นกัน ต้องใช้งานง่าย เข้าถึงง่าย คนเขาถึงจะชอบ คนเขาถึงจะอยากซื้อ อยากใช้กัน

     ต้องเอนกประสงค์กว่า : ต้องเป็นคนที่สามารถทำงานได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่งานในหน้าที่ตามตำแหน่งเท่านั้น เดี๋ยวนี้ แม้จะเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นนักวิชาการ ก็ต้องทำการตลาดเป็น ต้องขายเป็น ต้องรู้เรื่องการเงิน การบัญชี การภาษี ฯลฯ ด้วย จริงอยู่ที่คนเราอาจจะเก่ง หรือเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว แต่ในยามจำเป็นก็ต้องสามารถทำอย่างอื่นๆได้ด้วย จึงจะเป็นที่ต้องการของหน่วยงาน เดี๋ยวนี้ คนที่พูดได้สองภาษาดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว หลายองค์กรต้องการคนที่รู้ภาษาที่สามด้วย
     ยุคนี้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้โทรได้อย่างเดียว คนเขาเลิกใช้กันแล้ว โทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องเอนกประสงค์ถึงขนาดสามารถถ่ายรูปได้ ถ่ายวีดิโอได้ ฟังเพลง ฟังข่าวได้ ซื้อสินค้า ชำระเงินค่าจิปาถะได้ ซื้อขายหุ้น ตรวจล็อตเตอรี่ได้ เป็นดิคชันนารี่ได้ ฯลฯ สรุปคือสินค้าและบริการทุกอย่างต้องมีคุณสมบัติตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภคได้หลายอย่างจึงจะดี ขนาดบริษัท ไปรษณีย์ไทยฯยุคนี้ยังรับจองพระเครื่อง พระบูชา ขายเครื่องสำอางผ่านเคาน์เตอร์กันแล้ว

      ต้องสุขกว่า : คนที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ทำงานเป็นทีมได้ยอดเยี่ยม อยู่ที่ตรงไหน คนที่ตรงนั้นเขาก็มีความสุขกันถ้วนหน้า มีหัวใจบริการ มีวิญญาณของผู้รับใช้ เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ เป็นผู้ช่วยแก้ปํญหามากกว่าเป็นผู้สร้างปัญหา คนแบบนี้ ใครๆ ก็อยากได้ตัวไปทำงานด้วย
      สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ทำให้ผู้ซื้อ หรือผู้บริโภคเกิดความอุ่นใจ สบายใจ ไร้กังวล รู้สึกเป็นสุข รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ซื้อสินค้ายี่ห้อนี้มาใช้ ย่อมทำให้ผู้ซื้อ กลับมาซื้อซ้ำ กลับมาซื้อแล้วซื้ออีก ช่วยบอกต่อ ช่วยปกป้องแก้ตัวแทน ปวารณาตัวเป็นลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ไปในที่สุด แบบนี้ ก็ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ นอกจากเป็นเบอร์หนึ่งในตลาด หรืออย่างแย่ๆ ก็ต้องอยู่ใน       ท้อปไฟ้ว์

     ลองใช้เกณฑ์สมรรถนะ 7 อย่างนี้ คอยเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ หรือกับคู่แข่งอยู่เสมอๆ (Benchmarking) แล้วพยายามพัฒนาตนเอง พัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของเรา ให้เหนือกว่าคนอื่น หรือเหนือกว่าคู่แข่งให้ได้ แม้ไม่ครบทุกอย่าง ก็ให้ได้มากอย่างที่สุด เราจึงจะอยู่รอด และพอจะมีหนทางชนะได้บ้าง