วันศุกร์

อ่านแล้วรวย:รวยด้วยการบริหารเวลา

             อ่านแล้วรวย หลังจากนำเสนอการสร้างความร่ำรวยด้วยแฟรนไชส์มาหลายตอน  วันนี้นำเรื่องหนึ่งที่เป็น ปัจจัยที่ทำให้รวย  นั่นคือ เวลา  ถ้าเราทำงานคนเดียว  ต่อให้เก่งแค่ไหน  ก็อาจแค่รวยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น  แต่ปัจจัยที่จะทำให้ร่ำรวยจริงๆนั้นคือการให้คนอื่นทำงานให้ต่างหาก  หรือพูดเท่ห์ๆก็คือการบริหารเวลา

           เกี่ยวกับเทคนิคการบริหารเวลา

        ทุกวันทุกคนบนโลกใบนี้มีเวลาเท่าเทียมกันคือ 24 ชั่วโมง  อย่างไรก็ดี มองจากแง่มุมของเศรษฐศาสตร์ เวลาของทุกคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน การบริหารเวลาของแต่ละคนจึงหมายถึงความแตกต่างระหว่างความสำเร็จกับความพ่ายแพ้
  ค่าของเวลาเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพซึ่งในแง่ธุรกิจคือต้นทุน  ฉะนั้นสถาบันศึกษาทุกแห่งที่สอนวิชาการบริหารธุรกิจจึงมีหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารเวลา
  ครั้งหนึ่งใน "สามก๊ก" เล่าปี่ขอขงเบ้งให้แนะนำวิธีสร้างตนให้เป็นมหาเศรษฐีแห่งดินแดน  ขงเบ้งว่างานใหญ่เช่นนี้ต้องวางแผนและรู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
  เล่าปี่กล่าวว่า “ ข้าฯ เห็นด้วยในหลักการแต่ทว่าข้าฯมีงานมากมายที่ต้องทำทุกวันจนเวียนเกล้าเวียนศีรษะ ไม่เคยมีเวลาพอที่จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย “
  ขงเบ้งบอกลูกน้องให้ไปเตรียมก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย และน้ำจำนวนหนึ่งพร้อมถังเหล็กใหญ่หนึ่งใบ
  เล่าปี่ถามด้วยความแปลกใจ “ ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร ”
  ขงเบ้งยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับตอบด้วยคำถามว่า “ ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด ”
  เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯเคยคิดว่าข้าฯมีเทคนิคที่ดีอยู่แล้วคือใช้วิธีมอบหมาย ข้าฯมีผู้ช่วยอยู่รอบด้านตั้งแต่กวนอู เตียวหุย เจ้าหยุน ฯลฯ ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ด้านต่างๆ แต่งานทั้งหลายก็ยังพันกันอีนุงตุงนัง ไม่สามารถปรับให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้นได้ เดิมข้าฯคิดว่าข้าฯ คือ แมลงวันไม่มีหัวอยู่ตัวเดียว แต่หลังการใช้ระบบมอบหมายงานกลับกลายเป็นว่า ปัจจุบันมีแมลงวันหัวขาดเป็นฝูง”
  ขงเบ้งฟังแล้วจึงเริ่มอธิบายว่า “ เทคนิคการบริหารเวลาสามารถแบ่งเป็นสูง กลาง และต่ำ สามขั้น  ขั้นต่ำเน้นการใช้เศษกระดาษบันทึก  ขั้นกลางเน้นการใช้แผนดำเนินงาน และตารางโปรแกรมประจำวันซึ่งสะท้อนความสำคัญของการวางแผน ส่วนขั้นสูงเน้นการจัดการโดยแบ่งแยกประเภทของหน้าที่การงานตามดีกรีความสำคัญของงาน เพื่อพิจารณาลำดับความเร่งด่วนในการจัดการงานดังกล่าว  ทั้งสามขั้นต่างมีเรื่องการมอบหมายงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตามความต้องการของปริมาณและลักษณะเฉพาะของงานแต่ละชิ้น ”
  เล่าปี่สารภาพว่า “ หากพิจารณาตามการแบ่งขั้นของเทคนิคการบริหารเวลาแล้ว ข้าฯ ยอมรับว่าวิธีของข้าฯอยู่ที่ขั้นต่ำ เพราะใช้แค่สลิปบันทึก”
  ขงเบ้งชี้ไปที่ถังเหล็กกับกองวัสดุที่ผู้ช่วยได้เตรียมไว้มุมห้องพร้อมกล่าวว่า “ คำตอบของการบริหารขั้นสูงอยู่ในถังเหล็กใบใหญ่นี่แหละ!  ความจุของถังใบนี้ เปรียบเสมือนขีดความสามารถของคนคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง ก้อนกรวดเปรียบได้กับงานที่สำคัญและเร่งด่วน  ก้อนหินคือภาระที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน  เม็ดทรายเปรียบได้กับภาระที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ และน้ำคือหน้าที่ที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ”
  ขงเบ้งอธิบายพลางวาดผังประกอบคำอธิบายดังตารางประกอบด้านล่างนี้
 

       
  “ ปกติท่านเน้นงานประเภทใด ”  ขงเบ้งถาม
  “ ก็ต้องเป็นประเภท ก.”  เล่าปี่ตอบอย่างไม่ลังเล
  “ แล้วงานประเภท ข. ล่ะ ” ขงเบ้งถามต่อไป
   เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯ ตระหนักถึงความสำคัญของงานประเภท ข. แต่ไม่มีเวลาพอที่จะสนใจมัน”
  “ เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ”  ขงเบ้งถามพลางใส่กรวดลงไปในถังเหล็กจนเต็มแล้วพยายาม
   ใส่ก้อนหินตามซึ่งใส่ไม่ได้  เล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “
   “ และหากเปลี่ยนวิธีบรรจุใหม่ล่ะ ”  ขงเบ้งถามต่อพลางใส่ก้อนหินทีละก้อนเข้าไปในถังก่อนจนใส่ไม่ได้แล้วจึงถามเล่าปี่อีกว่า  “ ตอนนี้ถังเหล็กเต็มแล้วจะใส่ลงไปอีกไม่ได้ใช่ไหม?”   ซึ่งเล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “  
    “ จริงหรือ ? ”  ขงเบ้งถามแล้วหยิบก้อนกรวดใส่เข้าไปข้างบนถังแล้วเขย่าให้ก้อนกรวดตกลงไปในถังจนหมด  “ บัดนี้ถังเหล็กใบนี้ใส่อะไรลงไปอีกได้หรือไม่? ” ขงเบ้งพูดพลางเทเม็ดทรายลงไปจนหมด  “ แล้วทีนี้ล่ะ ใส่อะไรลงไปอีกได้ไหม? ”  ขงเบ้งถามต่อ แต่ก่อนที่เล่าปี่มีโอกาสตอบ ขงเบ้งก็ตักน้ำที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในถังเหล็กอีกจนหมด  “ ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของการทดลองนี้หรือยัง ? ” เล่าปี่ตอบว่า “ เข้าใจแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่เกี่ยวกับการจัดการแบบแยกประเภทและเลือกการจัดการก่อนหลังใช่ไหม ? ”
   ขงเบ้งตอบว่า “ ใช่แล้ว  การทดลองชี้ให้เห็นว่าหากถังเหล็กตั้งแต่แรกก็เติมเต็มด้วยก้อนกรวด ทราย  และน้ำ  ก็คงไม่มีโอกาสใส่ก้อนหินลงไปได้  แต่ถ้าใส่ก้อนหินลงไปก่อน  ในถังยังมีเนื้อที่ที่จะใส่สิ่งอื่นๆเข้าไปได้อีก ดังนั้น การบริหารเวลาที่ได้ผลต้องดูว่า อะไรคือก้อนหิน อะไรคือก้อนกรวด เม็ดทรายและน้ำ และไม่ว่าจะเป็นประการใดก็ต้องใส่ก้อนหินลงไปในถังเป็นอันดับแรก ”
   เล่าปี่ยังถามว่า “ แล้วการวิเคราะห์แยกแยะเรื่องต่างๆออกเป็นสี่หมวดนี้มีผลอย่างไร ”
   ขงเบ้งตอบว่า “ บุคคลจำพวกที่ว้าวุ่นอยู่กับเรื่องราวประเภทก้อนกรวดย่อมมีความรู้สึกถูกเวลากดดันและวนเวียนอยู่ในแดนวิกฤตจนอ่อนล้า  พวกที่เน้นเรื่องประเภทเม็ดทรายจะขาดพลังสร้างสรรค์  ชอบฟังคำพูดเพราะหู คบคนแบบผิวเผิน  พวกที่นิยมเรื่องราวประเภทน้ำมักบกพร่องเรื่องสำนึกรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องสารทุกข์สุกดิบของตนเอง ”
   เล่าปี่ถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่ว่าถ้าเน้นก้อนหินมากเกินไปจะมองข้ามก้อนกรวด เพราะก้อนกรวดมากับความเร่งด่วน ? “
   “ ท่านทราบไหมว่าก้อนกรวดมาจากไหน? ก็มาจากก้อนหินที่แตกสลายไง ” ขงเบ้งตอบ “ คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประเภทก้อนหินจะมีก้อนกรวดน้อย  คนที่เน้นก้อนกรวดก็จะมีก้อนกรวดเยอะตลอด “  ขงเบ้งสอนต่อไปว่า  “ คนที่อิงเรื่องประเภทก้อนหินเป็นคนมีประสิทธิภาพ เพราะเขาจะเก่งในการวิเคราะห์สถานการณ์ เวลาและสิ่งแวดล้อม  สามารถจับประเด็นหลักของปัญหา สามารถจัดการกับเรื่องเร่งด่วนและควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกินกว่าเหตุ  กล้าฟันธงและใช้มาตรการป้องปราม  บุคคลจำพวกนี้จะมีวิสัยทัศน์  มีอุดมการณ์ เคารพ ระเบียบ สามารถควบคุมตัวเอง  ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสามารถทำงานชิ้นใหญ่ได้ ”
   เล่าปี่ชื่นชอบทฤษฎี “ วัตถุในถัง “ ของขงเบ้งเป็นอย่างมากพร้อมกับสารภาพว่า “ มาวันนี้ข้าฯเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการต่อสู้ของข้าฯทำไมจึงยังลุ่มๆดอนๆ  เพราะแม้ว่าข้ามีขุนพลเก่งๆเช่นกวนอูและเตียวหุย  แต่พวกเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไรตราบใดที่คนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างพวกเขาจมปลักอยู่กับเรื่องจิ๊บจ๊อย  กับทำงานลักษณะ“ เก็บเม็ดงาแต่ทิ้งแตงโม “ (เจี่ยนเลอจือหมา ติวเลอซีกวา)  ขืนดำเนินตามวิธีนี้ต่อไป ความพยายามของข้าฯที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐีนัมเบอร์วันในแผ่นดินก็คงเป็นได้แค่ความฝัน ! ”

วันจันทร์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:เชสเตอร์กริล

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:เชสเตอร์กริล:

รวยด้วยแฟรนไชส์:เชสเตอร์กริล


อ่านแล้วรวย มารวยด้วยแฟรนไชส์อาหารที่โด่งดังอีกแบรนด์หนึ่ง บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด เป็นผู้บริหาร ร้านอาหารไทยฟาสต์ฟู้ด ภายใต้ตราผลิตภัณฑ์ "เชสเตอร์กริลล์" ซึ่งกำเนิดขึ้นด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์อาหารคุณภาพเพื่อคนไทย ด้วยความคิดริเริ่มจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของเมืองไทย ที่มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 80 ปี มีนโยบายที่จะขยายกิจการสาขาผ่านระบบแฟรนไชส์


เหมือนเดิม คำถามแรก เท่าไหร่
600,000 บาท


มีค่าอย่างอื่นอีกไหม

เงื่อนไขการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ร้านเชสเตอร์ กริลล์ มี 3 รูปแบบ
  1. Restaurant
    • พื้นที่ 51 ตารางเมตร ขึ้นไป
    • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ก่อนVat)600,000 บาท
    • ค่ารอยัลตี้* 4% ของยอดขาย
    • ค่าการตลาดส่วนกลาง* 3% ของยอดขาย
  2. Satellite
    • พื้นที่ 26 – 50 ตารางเมตร
    • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ก่อนVat)400,000 บาท
    • ค่ารอยัลตี้* 4% ของยอดขาย
    • ค่าการตลาดส่วนกลาง* 3% ของยอดขาย
  3. Kiosk
    • พื้นที่ ไม่เกิน 25 ตารางเมตร
    • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ก่อนVat)200,000 บาท
    • ค่ารอยัลตี้* 4% ของยอดขาย
    • ค่าการตลาดส่วนกลาง* 3% ของยอดขาย
* ชำระรายเดือน
  • ยอดขาย หมายถึง ยอดขายหลังหักภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 %
  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้าชำระ ณ วันที่เซ็นต์ตกลงเป็นแฟรนไชส์
  • การเปิด Kiosk จะต้องเปิดร้านขนาด Satellite และ Restaurant ก่อนและตั้งอยู่ในศูนย์เดียวกัน

มีกี่สาขาแล้วตอนนี้
163 สาขา
แบ่งเป็นร้านของบริษัทฯ จำนวน 60 สาขา ร้านแฟรนไชส์ จำนวน 90 สาขา

เขาวางหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการเลือกสรรแฟรนไชซี่อย่างไรบ้าง

วันอาทิตย์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์ : เดอะพิซซา คอมปานี

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์ : เดอะพิซซา คอมปานี:

รวยด้วยแฟรนไชส์ : เดอะพิซซา คอมปานี


อ่านแล้วรวย แนะนำ แฟรนไชส์ธุรกิจอาหารอีกตัวที่ ดี เด่น ดัง

เขาบอกว่ายังไงบ้าง
ความสำเร็จเกิดขึ้นจากประสบการณ์และความทุ่มเทมาตลอด 30 ปี ในการบริการด้านอาหารและความเอาใจใส่ต่อลูกค้า จนถึงวันนี้ เรามีลูกค้ามาใช้บริการรวมกว่า 120 ล้านครั้ง

เอาคำถามแรกตรงประเด็นเลย ราคาเท่าไหร่
เก้าล้านบาท

ค่าใช้จ่ายมีแค่นี้หรือ

รูปแบบและงบประมาณการลงทุน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี
  • งบการลงทุนในการเปิดร้านขนาด 240 ตรม. หรือในอาคารพาณิชย์ 2 ห้อง จะใช้งบลงทุนประมาณ 11 – 12 ล้านบาท
  • ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องจ่ายค่าการตลาด 5% ของยอดขายทุกเดือน และอีก 5% ของยอดขายสำหรับค่ารอยัลตี้ฟี
เก้า บวก สิบเอ็ด นี่มันยี่สิบพอดิบพอดี

(แต่เขาบอกว่าการลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานอย่างจริงจัง จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาหลายเท่า)

ระยะคืนทุนนานเท่าไหร่ละ
ไม่ได้บอกไว้

มีกี่สาขาแล้วละตอนนี้
188 สาขา โดยแบ่งสัดส่วนเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ราว 70% และบริษัทเป็นผู้ลงทุนเอง 30%
ความเป็นมาเขาเป็นยังไง

วันเสาร์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:โชคดีติ๋มซำ

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:โชคดีติ๋มซำ: "โชคดีติ๋มซำ ร้านอาหารที่ให้บริการติ่มซำนึ่งสด ในรูปแบบ Fast Casual Restaurant มากกว่า 70 เมนู พร้อมกับเครื่องดื่มและชาเพื่อสุขภาพ รวมถึงบั..."

ร้านอาหารที่ให้บริการติ่มซำนึ่งสด ในรูปแบบ Fast Casual Restaurant มากกว่า 70 เมนู พร้อมกับเครื่องดื่มและชาเพื่อสุขภาพ รวมถึงบักกุดเต๋ อาหารบำรุงสุขภาพ


เขามีที่มายังไง

ติ่มซำเป็นอาหารว่างที่ชาวจีนนิยมทานคู่กับการจิบน้ำชา หรือทานเพื่อเรียกน้ำย่อย แต่เดิมติ่มซำรสเลิศจะมีบริการเฉพาะในภัตตาคารใหญ่ๆเท่านั้น ด้วยความที่ต้องการให้คนไทย ได้ลิ้มรสอาหารว่างที่เอร็ดอร่อยได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

คุณธีรภพ ศิรประภาธรรม จึงได้ก่อตั้ง "โชคดีติ่มซำ เรสเตอรองค์" สาขาบรรทัดทองขึ้นเป็นสาขาแรก ในปี พ.ศ.2543 โดยมีแนวคิดที่ต้องการนำเสนอติ่มซำรูปแบบใหม่เป็นเจ้าแรกในกรุงเทพฯ นั้นคือ ติ่มซำนึ่งสดๆ พร้อมด้วยบักกุดเต๋รสกลมกล่อม

ทำให้โชคดีติ่มซำ ได้กระแสตอบรับที่ดี เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยความสด สะอาด ความพิถีพิถัน รวมถึงเมนูอร่อยที่มีให้เลือกกว่า 60 เมนู รวมถึงการเปิดให้บริการแบบ 24 ชม. โดยมีจำนวนสาขาทั้งหมด 24 สาขา

ค่าแฟรนไชส์เขาคิดเท่าไหร่ 655,000 บาท ทำไมเป็นเศษก็ไม่รู้

  • งบประมาณการลงทุน (รวมค่าธรรมเนียมแรกเข้าแล้ว) ประมาณ 2.5-3.7 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่)
  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (แฟรนไชส์ฟี) 655,000 บาท (สัญญา15ปี)
  • ค่า Royalty Fee 4% ของยอดขาย
  • ค่า Marketing Fee 2% ของยอดขาย

2-3 ปี (ขึ้นอยู่กับทำเลและสถานที่)


  • ติ่มซำมากกว่า 60 เมนู
  • ติ่มซำนึ่งสดๆพร้อมเสริฟ
  • เปิดบริการ 24 ชม.
  • บักกุดเต๋ (ซี่โครงหมูต้มเครื่องยาจีน)
  • กังฟูชา เช่น ชาอู่หลง ชามะระ ชามะลิ ชาทิกวนอิม ฯลฯ
24 สาขา
21 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล, 3 สาขา ในต่างจังหวัด

  • มีจิตใจหนักแน่น รักงานด้านบริการ เข้าใจในวิธีการบริหารลูกค้า
  • งบประมาณการลงทุนเพียงพอ มีประวัติการเงินดี
  • ตั้งใจจริงในการดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง
  • พร้อมที่จะปฎิบัติตามระบบแฟรนไชส์ของโชคดีติ่มซำ
  • มีบุคลิกภาพที่ดี มีความเชื่อมั่น และเปี่ยมด้วยคุณธรรม

  • สิทธิในการใช้ชื่อ รูปแบบ และโลโก้ อันเป็นเอกลักษณ์ของโชคดีติ่มซำ ที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดี
  • สิทธิในการสั่งซื้อสินค้า วัตถุดิบ และเครื่องปรุงล้วนผลิตจากบริษัทฯ
  • ช่วยเหลือในการคัดเลือก และสรรหาตัวแทนจำหน่าย วัตถุดิบที่นำมาใช้รวมกันในการประกอบอาหาร
  • ให้คำปรึกษาออกแบบ ตกแต่งร้านให้ได้ตามมาตรฐานของโชคดีติ่มซำ
  • จัดฝึกอบรมพนักงานของแฟรนไชส์ซี่
  • ให้ยืมเอกสารคู่มือการบริหารหน้าร้าน รวมทั้งสูตร (Recipe) ต้นทุนอาหารและเครื่องดื่ม
จุดเด่นที่เขาคุย
  1. สามารถเปิด 24 ชม. เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
  2. มีการบริหารจัดการร้านด้วยระบบคอมพิวเตอร์
  3. มีทีมงาน Support แฟรนไชส์ ตลอด 24 ชม
ติดต่อ คุณธีรภพ ศิรประภาธรรม
ที่อยู่ 48/1-4 จุฬาซอย 7 ถนนบรรทัดทอง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทร 02-611-5745
แฟกซ์ 02-611-5747
เวปไซต์ www.chokdeedimsum.com
อีเมล์ hanan@chokdeedimsum.com


วันศุกร์

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:นีโอสุกี้

Read-for-Rich with Franchise: รวยด้วยแฟรนไชส์:นีโอสุกี้:
อ่านแล้วรวย วันนี้เกิดคันไม้คันมือ จึงขอนำข้อมูลของแฟรนไชส์อาหาร มาให้ศึกษาดูกัน 3 เรื่อง
เผื่อแฟนที่สนใจ รวยด้วยแฟรนไชส์จะได้รวยกันนะครับ
วันนี้จะเป็นเรื่อง นีโอสุกี้
ครั้งต่อไปจะเป็นเรื่อง โชคดีติ๋มซำ
และครั้งสุดท้ายจะเป็นเรื่อง เดอะพิซซา คัมปานี
เล่าแบบสืบมาอย่างดีแล้วครับ และไม่ได้โฆษณา
เพียงต้องการแชร์วิธีรวยแบบแฟรนไชส์
เขามีค่าแรกเข้าเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายเริ่มแรกมีค่า FRANCHISE FEE แรกเข้าอย่างเดียวเท่านั้นคือ 300,000 บาท ต่อสาขาตลอดระยะเวลาการเป็น FRANCHISEE

เขามีค่าอย่างอื่นบ้างไหม : มี 4 อย่างตามนี้แหละ
ส่วนที่ 1 ได้แก่ ค่าตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ และ งานก่อสร้าง ประมาณ 1,500,000 บาท ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ค่าออกแบบตกแต่งภายใน งานสีเฟอร์นิเจอร์ภายในทั้งหมด ป้ายกล่องไฟโลโก้ งานปูน งานประปา ค่าวัสดุก่อสร้างภายใน ค่าจ้างงานเหมาไฟฟ้า ค่าติดตั้งเครื่องปรับอากาศ งานเดินระบบแก๊ส เป็นต้น

ส่วนที่ 2 ได้แก่ เครื่องใช้สำนักงาน ประมาณ 70,000 บาทประกอบไปด้วย เครื่องตอกบัตร เครื่องแฟกส์ เครื่องแคช ตู้เซฟ เครื่องเสียง และ อื่นๆ เป็นต้น

ส่วนที่ 3 ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ประมาณ 190,000 บาท ได้แก่ ตู้เย็นต่างๆ ไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว เครื่องปั่น เตาอบ เครื่องกรองน้ำ รถเข็น เตาและ อื่นๆ

ส่วนที่ 4 ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้ ประมาณ 130,000 บาทประกอบไปด้วย ตาชั่งต่างๆ กาต้มน้ำ กาน้ำซุป หม้อ มีด คอนโด จานแบ่ง ถ้วยน้ำซุป ต่างๆ เป็นต้น

ข้อสังเกต งบลงทุนนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของสาขา แต่ตกลงแล้วก็ 2.2-2.5 ล้าน นี่ยังไม่รวมค่าที่นะครับพี่น้อง
ค่าใช่จ่ายดำเนินการหาไม่เจอครับ แต่ประมาณนี้นะ
-ค่าเช่าที่ 200 ตรม X บาท
-ค่าจ้างคน 25 คน Y บาท
-ค่าต้นทุนวัตถุดิบ Z บาท
-ค่าน้ำค่าไฟ Q บาท
ดังนั้นนอกจากมีตังจ่ายครั้งแรก 2.5 ล้าน แล้ว ยังต้องมีค่าดำเนินการสำรอง 4 เดือน 4*(X+Y+Z+Q) บาท

วันอังคาร

คนรวย:โชค บูลกูล

           อ่านแล้วรวย  นอกจากจะเล่าเรื่องของความรู้เทคนิกต่างๆแบบฮาวทูเพื่อเล่าสู่กันฟังกับคุณแล้ว  จะพยายามหา "คนรวย"มาถ่ายทอดให้ท่านได้แง่คิดของคนรวยเหล่านี้ว่ามีวิธีคิดหรือปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขารวย  ลองดูคนแรกกันครับ  ประเมินว่าน่าจะรวย พันล้าน เจ้าของฟาร์มโชคชัย
          (อ่านให้ถึงหลัก 30 ข้อด้านล่างนะครับ แล้วจะได้ความคิดหลักว่าเขาทำยังไงจึงรวย)              
           โชคชัยฟาร์ม เมื่อ 10 กว่าปีก่อนกับตอนนี้ นอกจากจะผิดกันด้วยจำนวนผู้คนที่คลาคล่ำอยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด วัว ม้า และสัตว์ทุกตัวในฟาร์มก็ดูคึกคักตามไปด้วย รวมถึงต้นไม้ในพื้นที่ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมให้ชาวเมืองได้แวะเข้าไปฟอกปอดกันได้เต็มที่ 

         10 ปีที่แล้ว โชคพาลูกน้องนับ 100 คน ไปช่วยกันปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนงงว่า จะปลูกไปทำไม เพราะคนกลุ่มนี้เป็นเกษตรกรที่คุ้นเคยกับต้นไม้อยู่แล้ว 

                10 ปีผ่านไป โชคพาพวกกลับไปดูต้นไม้ที่ปลูกไว้อีกครั้ง พร้อมกับให้ข้อมูลกับพวกเขาว่า ต้นไม้ 1 ต้น ให้ออกซิเจนนับร้อยลูกบาศก์ลิตร เพื่อบอกให้รู้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่แค่ได้ประโยชน์ในพื้นที่ฟาร์ม แต่พวกเขายังทำประโยชน์ให้กับสังคมอีกด้วย เรื่องแบบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดในภาวะโลกร้อนเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ 

               วิธีที่โชคเลือกใช้ เป็นหนึ่งในปรัชญาการบริหารฟาร์มโชคชัย ในเรื่องการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง รวมทั้งเป็นการสื่อสารด้วยเทคนิคง่ายๆ จากการปฏิบัติจริง เพียงแค่ต้องอาศัยระยะเวลาเข้าช่วย 

               เรื่องง่ายๆ แบบนี้ ต้องยกให้กับความช่างคิดของผู้นำอย่าง โชค บูลกุล ประธานกลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย 


              ยังมีเรื่องเล็กๆ อีกหลายเรื่องในฟาร์มแห่งนี้อีกมาก ที่ทำให้ฟาร์มที่เคยเกือบจะเอาตัวไม่รอดในยุควิกฤตปี 2540 กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง ซึ่งทุกเรื่องราวล้วนเกิดขึ้นจากการหล่อหลอมวัฒนธรรมของคนในองค์กร ให้มีความร่วมมือร่วมใจ เกิดความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของ และพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับฟาร์ม ด้วยการเห็นคุณค่าของงาน ที่ให้ผลตอบแทนกว้างเกินขอบรั้วของฟาร์ม 

วันเสาร์

อ่านแล้วรวย:เพิ่มยอดขาย จะได้รวย


       อ่านแล้วรวย  จะพูดเคล็ดลับสร้างความร่ำรวยต่อจากบทความที่แล้ว  ขายไง ให้รวย  เมื่อจะพูดกันถึง  "การเพิ่มยอดขาย" ผมตั้งหลักการเบื้องต้นว่านั่นแสดงว่าเราต้องมี "ยอดขาย" ก่อน เมื่อมีหรือเมื่อรู้แล้วว่ายอดขายของตนมีเท่าไหร่ ค่อยไปว่ากันต่อไปว่าแล้วอยากจะเพิ่มยอดขายไหม? จะเพิ่มยอดขายกันอีกเท่าไหร่? จะเพิ่มยอดขายกันอย่างไร? และจะเพิ่มยอดขายกันเมื่อไหร่? 
        เป็นไปได้มากว่าการที่ยอดขายไม่เพิ่มนั้น อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ :- 
      - เราขยันขายน้อยไปหน่อย เรายังขายไม่เต็มที่
      - เราขายสินค้าเพียงบางชนิด ทั้งๆที่เรามีผลิตภัณฑ์ที่จะขายอยู่ตั้งเป็นร้อยๆชนิด
      - เราขายให้กับลูกค้าที่มีกำลังซื้อต่ำมากเกินไป ซึ่งทำให้แม้ขายได้ปริมาณมาก
        แต่กลับมีมูลค่าเป็นตัว เงินน้อย
      - เราไม่เคยเก็บสถิติ หรือจดบันทึกการทำงาน ไม่เคยทำสรุปใดๆไว้เลยว่าคนที่ซื้อซื้อเพราะอะไร
        คนที่ไม่ซื้อ ไม่ซื้อเพราะอะไร